Life is all around.

Archive for November 2008

คราวที่แล้วพูดเรื่องที่ต้องเดินทางไปสำนักงาน FedEx ที่เมือง Batesville ในรัฐ Mississippi … อันดับแรกเลยเราก็ต้องหาก่อนใช่เปล่าว่าสำนักงานมันอยู่ที่ไหน ปกติเว็บไซต์ที่จะใช้หาเส้นทางการเดินทางที่เยี่ยมที่สุดที่รู้จักก็คือ http://www.mapquest.com แค่ใส่ที่อยู่เราและใส่ที่อยู่ปลายทาง กดจึ๊กๆ เดียว ออกมาเลยว่าตั้งแต่ซอยหน้าบ้านเล็กๆ เนี้ยต้องเดินทางกี่นาที เป็นระยะทางกี่เมตร

แต่ด้วยความที่ขี้เกียจเพราะว่าไม่รู้เลขที่กับถนนของสำนักงาน FedEx ก็เลยเปิด google map จัดการพิมพ์ FedEx, Batesville, MS โป๊ะ…ได้มาแล้ว มีตัวเลือกให้ 2-3 อัน เลือกที่มันเป็นสำนักงานใหญ่ที่สุด โอเคแล้วที่อยู่ตามนี้…
510 Hwy 35 N,
Batesville, MS‎
(800) 463-3339‎

ลองโทร.ตามเบอร์โทรข้างบน…อึม..ใช่ FedEx จริงๆ ด้วย อันนี้รูปนะ..มองไม่ชัดก็คลิ๊กไป เดี๋ยวเห็นรูปใหญ่เองจ๊ะ

g35n

หลังจากนั้นก็พิมพ์ที่อยู่ต้นทาง โช๊ะ…ได้แล้วแผนที่การเดินทางของเรา print แผนที่เรียบร้อย โทร.ไปบอกเฮียอุ๋ย “พี่ๆ…พรุ่งนี้ไปไหนเปล่า ยืมรถหน่อยซิจะไปเอาหนังสือที่ FedEx ที่เมือง Batesville” (รถอีฉ้านน ยังอยู่ที่อู่เลยคะท่าน ตอนนี้ต้องหน้าด้านยืมของชาวบ้านใช้ไปก่อน ถ้ามีธุระจำเป็น)

“เอ่อ…พี่ว่างพอดี เดี๋ยวเลิกงานพี่ขับรถไปให้ก็ได้ เสร็จฉ้านน 555” คาดว่าพี่เค้าคงกลัวเราเอารถไปปู้ยี้ปู้ยำ เราก็ขับรถออกไปประมาณเกือบบ่าย 3 พร้อมกับแผนที่ในมือ…..เอาหล่ะตามแผนที่บอกให้ขับเส้น Highway 6 ต่อด้วย 35N (เหนือ) ง่ายม๊าก…แล้วไปต่อ 35N(Old) อันนี้เหมือนกับทางหลวงเก่าแล้วเค้าตัดทางหลวงใหม่แต่ยังคงใช้ชื่อเดิมอะไรเทือกนี้แหล่ะ

พอก่อนเข้าเส้น 35N อ้าว…เพ่..มีซีดีอัสนี-วสันต์ด้วยเหรอ ป๊าด…ชอบสุดๆ ไม่ได้ฟังเป็นสิบปี (เว่อร์อีกแล้วท่าน) เอาหล่ะเปลี่ยนแผ่นซีดีอย่างรวดเร็ว ตะโกนร้องเพลงแข่งกับพี่ป้อม…โย่ววๆๆๆๆ ขับไปขับมา 35N(Old) มันอยู่ไหนหว่า มันต้องถึงแล้วนะ เพราะตามแผนที่ขับแค่ 6 นาทีก็จะเห็น 35N(Old)ยิ่งขับยิ่งออกนอกเมือง…เวรกรรม

บอกพี่อุ๋ย “เพ่ๆๆ สงสัยเลยทางเข้ามั้งเนี้ย ออกมาไกลโพ้นอย่างนี้ เลี้ยวรถกลับดีกว่า” พี่อุ๋ยก็ไม่เชื่อเซ้นต์ฝีมือนาวิเกเตอร์ชั้นเยี่ยมอย่างเรา (บอกทางทีไร มั่วทุกที 555) “อะหน่า ขับไปอีกนิดละกัน” ขับต่ออีกซักพักพี่เค้าก็หยุดแล้วเอา iphone มาจิ้มๆๆ “เอ่อ…เลยมาตั้งหลายไมล์นะเนี้ย” “ก็บอกแล้วงัย ว่ามันเลยมาแล้ว ก็สงสัยไม่ได้ดูทางตอนร้องเพลงพี่ป้อมโน้นแหล่ะ” และแล้วแกก็เชื่อเทคโนโลยีของแก…ไม่เป็นไร เราก็ร้องเพลงพี่ป้อมต่อไป สุขจริงๆๆ อิอิ

เลี้ยวหัวรถเรียบร้อยโรงเรียนเฟดเอ็กซ์ ณ เบสวิว…เจอแล้ว 35N(Old) เหวอ…ถนนเส้นติ๊ดเดียว รถ FedEx มันเข้าไปงัยเนี้ย เออๆๆ ไม่เป็นไร ทางเข้ามีธงเมกา…คงต้องเป็นสถานที่ราชการ (คิดในใจ แบบคนไทยสุดๆๆ) เข้าไปตามถนนเลนเดียวนั่นแหล่ะ…ทั้งถนนมีบ้านอยู่หลังเดียว (บ้านครับหาใช่สำนักงาน FedEx ไม่) เหวอ…ไหงเป็นงี้หว่า

ทีนี้อีฉัน…โดนอีกรอบ “พจน์..แน่ใจเหรอว่า address อันนี้ถูก” เราก็ “ถูกนะเมื่อวานยังโทรไปตามเบอร์นี้เลย” ว่าแล้วหยุดรถ..โทร.ให้พี่เค้าดูว่าที่อยู่กับหมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ถูกต้อง เราก็คุยกับเจ้าหน้าที่ FedEx ถาม Address อีกที เค้ายืนยันนะว่าที่อยู่ของเค้าคือ 510 Hwy35N….แล้วอีฉ้านทำไงหล่ะเนี้ย….

โอเค…ขับรถออกจากละแวกนั้นไปเขตชุมชนก่อนแล้วค่อยถามคนแถวนั้นก็ได้ ตามแบบฉบับคนไทยสุดๆ และแล้วลุงแก่ผู้ใจดีก็บอกว่า โน้น…มันเส้น 35N นั่นแหล่ะ แต่อยู่อีกฟากของเมืองโน้น ว่าแล้วก็ขับไปตามที่คุณลุงคนนั้นบอก…เจอ FedEx จริงๆ แฮ่ะคราวนี้ เลขที่มันก็เขียนบอกว่า 510 Hwy35N จริงๆ แล้วชี้ให้พี่เค้าดู “เพ่ๆๆ พจน์เปล่าพาพี่มาหลงทางนะ Google map มันบอกอย่างนั้นหนิ ทำไงได้” แต่เราก็คิดในใจ อ้าว…ทำไมเลขที่เดียวกันมี 2 แห่ง ช่างเหอะ..ถึงก็ดีแล้ว

หลังจากกลับมาแบบไม่สบอารมณ์นัก หนังสือก็ไม่ได้ หลงทางอีกต่างหาก…อึม นอนไม่หลับ เป็นไปได้งัย…ผีหลอกเหรอ ไม่นะ..ต้องหาทางรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

จัดการเอาที่อยู่เดิมพิมพ์ใส่ mapquest โอ๊ะ…ได้ที่อยู่ตรงกับ FedEx ที่ไปจริงๆ ด้วย สรุปว่างานนี้ Google Map ห่วยจริงๆ อันนี้เป็นรูปที่หาจาก mapquest

mq35n1

เอาแบบซูมๆๆ เห็นกันจะๆๆ

mq35n2

ดูซิว่า Google map มันพาเราไปห่างจากจุดหมายซะไกลเชียว ดูจากจุด A กับจุดดำๆ ที่ทำเป็นวงไว้ซิ ว่ามันห่างกันซักแค่ไหน งานนี้เลิกคบ Google map แล้วแต่ก็ยังรัก Google earth อยู่นะ (ไม่น้อยใจใช่มั๊ยตัวเอง)

fedex

Tags: ,

smelly

หลังจากของขึ้นกับพวกคนอินเดียไปแล้ว ยังมีอะไรอีกเยอะที่อยากพูดถึง ปกติแล้วเราเลี่ยงที่จะคบเป็นเพื่อนและเสวนากับคนกลุ่มนี้ เราไม่ได้เป็นพวกเรซิสอะไรทำนองนี้หรอกนะ แต่บางครั้งมันก็อดคิดไม่ได้หน่ะเพราะคนอินเดียส่วนใหญ่ที่เราเจอ คือ เห็นแก่ตัว ขี้โกงแล้วก็โค๊ดเหม็น บางคนก็อาจจะดีมั้ง…แต่ในชีวิตประจำวันของเรายังไม่เจอแบบดีๆ เลย

ในตึก Engineering School หรือพวก Computer Science and Tech. ของมหาวิทยาลัยในอเมริกาโดยทั่วไปจะเห็นนักเรียนอินเดียกับจีนเยอะมาก อันนี้เป็นปกติอยู่แล้วแหล่ะ ที่ทำงานของเราก็เช่นกัน บางครั้งยังคิดเลยว่าอยู่อเมริกาหรือประเทศจีนกันแน่ เพราะบรรยากาศที่เค้าคุยกันเองนี่ ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย นอกจากคุยกับเราหรืออาจารย์ระดับสูงก็จะพูดภาษาอังกฤษ ดีหน่อยว่าที่ทำงานมีคนจีนเยอะและมีคนอินเดียแค่ 2 คน ทั้งสองคนไม่ได้เป็นนักเรียนอย่างเราหรอก คนนึงทำงานอีกตึกนึงก็ดีไป แต่อีกคนทำงานใกล้กัน จริงๆ แล้วเค้าต้องนั่ง section ของ staff แต่เผอิญว่า section ของ staff ที่เค้าควรจะต้องนั่งทำงานมันเต็ม เค้าก็เลยมานั่งฝั่งนักเรียนติดกับเรา โอ้ว…แม่เจ้า เป็นตั้ง Ph.D. หน้าที่การงานก็ดี (อันนี้จริงๆ ไม่เกี่ยวหรอก) ไหง..กลิ่นโค๊ดเหม็น เรานะแทบจะเป็นลม ต้องไปซื้อน้ำหอมสาระพัดมาประดับประดาที่โต๊ะทำงานไม่ให้มีกลิ่นแขกลอยมาเข้าจมูก เท่านั้นยังไม่พอ คนจีนที่อยู่โต๊ะถัดไปต้องกลับประเทศ ทีนี้มีนักเรียนจากอินเดียมานั่งแทน พระเจ้าช่วย…โดนแขกขนาบข้าง กรำๆๆๆๆ คือต้องเข้าใจนะ เราทำงานใช้คอมพิวเตอร์เป็นห้องติดแอร์แบบปิดตลอด อาจจะเปิดประตูตอนเที่ยงบ้างนิดหน่อยเท่านั้นเอง กลิ่นมันก็ไม่ไปไหนตลบอบอวนอยู่อย่างนั้น เซ็งๆๆ

กลิ่นแขกจากซ้ายและขวามันช่างทรงพลังอย่างยิ่ง บอกได้คำเดียวว่า..มึนและเหม็นจะเป็นลมตายอยู่แล้ว ช่วงหน้าร้อนในบางวันโดยเฉพาะตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ เราต้องหนีออกไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดหรือเอา laptop มาจากบ้านเพื่อจะได้ไม่ต้องทำงานที่โต๊ะ ดีหน่อยว่าเด็กนักเรียนอินเดียอยู่แค่เดือนเดียว ไม่งั้นเราต้องตายแน่ๆ บางครั้งเวลามีสัมนา ถ้าเราเข้ามาหลังก็จะนั่งห่างจากคนพวกนี้ให้มากที่สุด เหม็นจริงๆ นะขอบอก มีอยู่ครั้งนึง เรานั่งเรียบร้อยเสร็จสรรพ เวรกรรม..อีตานี่มานั่งใกล้ๆ เราก็ใช้มุขนั่งอยู่แป๊บนึงแล้วก็เปลี่ยนที่ไปเลย บอกว่าคนข้างหน้าบังมองไม่เห็น เฮ้ย…ไม่ไหว

ส่วนเรื่องขี้โกงก็สุดๆ เหมือนกัน ปกติที่ทำงานเค้าจะล็อคไม่ให้โทรออกนอกเมือง ถ้าโทรก็จะต้องมีรหัสโค้ดที่ใช้สำหรับโทรออก แล้วเค้าก็จะให้โค้ดสำหรับคนทำงานเอาไว้ใช้สำหรับโทร.ในเรื่องงานเท่านั้น นักเรียนไม่มีสิทธิ์ได้รับโค้ด หากใครต้องการโทรเบอร์ภายในมหาวิทยาลัยหรือภายในเมืองหรือเบอร์โทร.ฟรีก็สามารถโทรได้เลย เผอิญว่าหลังจากที่นักเรียนอินเดียที่นั่งข้างเรากลับอินเดียไปแล้ว ทางเลขาของที่ทำงานก็ได้บิลค่าโทรศัพท์ ที่โทรไปยังเมืองๆ หนึ่งในรัฐ Mississippi โทรศัพท์ที่ใช้โทรออกก็คือโทรศัพท์ที่พวกเราใช้กันนั่นเอง โทรไปเบอร์นั้นประมาณเกือบ 10 ครั้งเห็นจะได้ คนทั้งหมดในออฟฟิสมีอยู่ 8 คน แต่คนที่โทรได้มีแค่ 5 คน เพราะอีก 3 คนเป็นนักเรียนซึ่งพวกเราไม่สามารถโทรออกได้อยู่แล้ว คนทำงานอีก 1 กลับประเทศจีน เลยเหลือผู้ต้องหาอยู่ 4 คน ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนโทรสักคน จริงๆ ค่าโทรก็ไม่เยอะหรอก แต่เลขาต้องการจะลงงบให้ถูกต้องว่าเป็นงานไหน เลขาระบุว่าเวลาที่โทรออกเป็นตอน 3-4 ทุ่ม ซึ่งไม่ใช่เวลาทำงาน เราก็รู้แล้วแหล่ะว่าใครโทร แต่ไม่ต้องการกล่าวหาใคร เพราะตลอดเวลาที่นักเรียนอินเดียอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยเห็นกลับบ้านไปนอนซักที ที่พักเค้าก็มีนะ แต่เค้านอนที่ทำงานแทนหน่ะ (เค้าไม่มีโทรศัพท์กับอินเตอร์เน็ตที่บ้านพัก ดังนั้นกลางคืนแชทกับคนที่อินเดีย กลางวันเห็นหลับเป็นประจำ) ดูจากเวลาที่โทรออกเราสรุปได้เลยว่ามีใครโทร ปัญหาคือเค้าโทรได้ยังไง เราก็สงสัยเหมือนกัน เราคิดว่าเลขาก็สงสัยเช่นเดียวกัน หลังจากไม่มีใครยอมรับ ก็แหงซิ..คนโทรกลับอินเดียไปแล้ว วันต่อมาเลขาก็เลยโทรไปยังเบอร์ที่ถูกระบุว่าโทรออกไป สรุปว่าเป็นเบอร์ของบริษัท calling card ที่ใช้โทรกลับไปต่างประเทศอีกต่อนึง ทีนี้เค้าก็เลยถามท่านด๊อกเตอร์อินเดียที่เป็น staff เลย แต่พูดอะไรกันเราไม่รู้หรอกนะ เพราะเค้าไปคุยกันข้างนอก และสรุปว่าคนก็รู้ว่าเด็กนักเรียนอินเดียเป็นคนโทร แต่คุณด๊อกเตอร์นี่จะยอมรับหรือเปล่าว่าเป็นคนให้โค้ดโทรศัพท์ เพื่อใช้โทรส่วนตัว อันนี้ไม่รู้เหมือนกันนะ นี่ก็เป็นเรื่องแย่ๆ อีกเรื่องที่เราเจอ

เฮ้อ…จิตใจคน ยากแท้หยั่งถึง การศึกษานี่ทำให้จิตใจคนพัฒนาไปบ้างเปล่าเนี้ย น่าคิดนะ

Tags:

image_preview

วันนี้มาขอระบายหน่อย ใครไม่อยากอ่านก็ไม่เป็นไรนะ เพราะเจ้าของบล๊อกกำลังอารมณ์ขุ่นๆๆ จากการซื้อของทางอินเตอร์เน็ต แล้วเจอพวกที่ชอบฉวยโอกาสบางกลุ่ม เฮ้อ…. จริงๆ ไม่ได้เครียดปานนั้นหรอก แต่อยากจะเขียนเอาไว้เผื่อคนที่เข้ามาอ่านจะได้รู้ไว้เป็นบทเรียนมากกว่า

เรื่องมีอยู่ว่า เราต้องซื้อหนังสือออนไลน์หน่ะ เพราะแถวเมืองที่อยู่มันไม่มีขาย แล้วหนังสือที่ว่ามันก็หายากเหลือเกิน ปกติเราจะซื้อหนังสือผ่าน Amazon แต่เผอิญหนังสือที่ขายจาก Amazon ราคาสูงกว่าที่เว็บ Alibris ถึง 2 เท่า… เอาน่าเว็บนี้ก็มีชื่อเสียงเหมือนกัน รับประกันได้ เลยตกลงซื้อหนังสือจากคนๆ หนึ่ง ไม่เอ่ยนามละกัน ตามแหล่งที่อยู่ระบุว่าพำนักอยู่ที่เมือง Pennsylvania ในอเมริกานี่แหล่ะ โอเคเลย ใกล้ๆ เพราะสั่งไม่กี่วันก็คงได้หนังสือ

สั่งหนังสือเสร็จสรรพ บัตรเครดิตโดนหักเงินเรียบร้อย หนังสือระบุว่าถูกส่งมาแล้ว เราก็นั่งรอนอนรอครบ 5 วัน ไปเช็คหนังสือที่ออฟฟิสที่อพาร์ตเม้นต์ทุกวัน เพราะหนังสือมันจะใหญ่กว่าช่องใส่จดหมายที่ทางอพาต์เม้นต์จัดให้ เลยต้องไปสอบถามที่ออฟฟิสเอง แต่ทำไมหนังสือไม่มาซักทีนะ เพราะในเว็บระบุว่าปกติหนังสือจะถูกส่งแบบ UPS Ground แบบมาตราฐานถ้าไม่ระบุเป็นอย่างอื่น และควรต้องถึงอย่างน้อย 7-14 วัน อึม…มันแปลกๆ นะ

เราก็เช็คอีเมลล์ก็เห็นสถานะของหนังสือระบุว่า shipped เอ๊ะ…แล้วทำไมไม่ได้รับหว่า ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ของอพาต์เมนต์ ห้องพัก ชื่อถนน รหัสไปรษณีย์ทุกอย่างก็ถูกต้องเรียบร้อย เพราะซื้อของมาตั้งเยอะแยะไม่มีทางเขียนที่อยู่ตัวเองผิดแน่นอน แต่ด้วยความที่ตัวเองประมาทและซื่อบื้อเล็กน้อย และไม่มีลิงค์ของ Tracking No. ในอีเมลล์ ก็คิดว่าหนังสือคงถูกส่งแบบ UPS Ground ธรรมดาที่ไม่สามารถ Track ได้ว่าหนังสืออยู่ที่ไหน หลังจากนั้นก็ส่งอีเมลล์หาคนขาย…ไม่ตอบกลับแฮ่ะ ผ่านไปเกือบอาทิตย์ ส่งอีเมลล์ไปใหม่…ก็ไม่มีการตอบกลับเหมือนเดิม เอ๊ะ…ทำไงดีน้าถึงจะรู้ว่าหนังสืออยู่ไหน ก็เลยเข้าไปที่เว็บ Alibris อีกครั้งพอดู status การส่งของ อ้าวมี Tracking No. ด้วยเหรอ แล้วทำไมส่งแบบ FedEx หล่ะ…ยิ่งงงเข้าไปใหญ่

ที่ต๊กใจ เห้ย…ทำไมส่งมาจาก New Delhi ประเทศอินเดียฟร่ะ…โดนอ้ายพวกแขกหลอก ไหนบอกบ้านแกอยู่เมกา..เปลี่ยนสัญชาติเร็วจริง ไอพวกบ้า (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ..อารมณ์พาไป 555) ทีนี้ทำไงดี เพราะดูจาก Tracking No. เค้าระบุว่าหนังสือถูกส่งกลับไปที่ศูนย์ FedEx ในเมืองใกล้ๆ กับเมืองที่อยู่ เพราะเมืองที่อยู่ไม่มีศูนย์ FedEx แต่ที่เค้าไม่ส่งเพราะเค้าระบุว่าที่อยู่ของผู้รับไม่ถูกต้อง อ้าว…ไหงเป็นงี้หล่ะ ก็ที่อยู่ให้ถูกต้องทุกอย่างหนิ ทำไมหนังสือถูกตีกลับ

หลังจากนั้นก็โทร.หา FedEx เพื่อถามว่าหนังสืออยู่ที่ไหน เพราะศูนย์ FedEx มันมีหลายที่ หลังจากได้ที่อยู่เสร็จสรรพ ก็รีบตรงดิ่งไปทันที เจ้าหน้าที่บอกว่าหนังสือส่งกลับไป FedEx Center แล้ว เค้าบอกว่าที่เพกเกจของคุณไม่สามารถส่งได้เพราะที่อยู่ระบุไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นเราจะเก็บเพกเกจของคุณไว้ 5 วัน ภายหลังจาก 5 วัน เราจะส่งไปเพกเกจคุณไปที่ FedEx Center ตอนแรกเราก็งง…อ้าวมันยังมี FedEx Center อีกเหรอ แล้วมันอยู่ที่ไหนเนี้ย…จะได้ไปเอาหนังสือ คุยไปคุยมาก็คือเค้าส่งกลับคืนผู้ส่ง อ้าว…เวรกรรม ป่านนี้ใครคนนั้นที่ประเทศอินเดียคงได้ทั้งเงินและหนังสือเราไปแล้วแหล่ะ ว่าสิทำไมอีเมลล์ไม่ยอมตอบ

เราก็ถามเจ้าหน้าที่นะว่าทำไมที่อยู่ที่ผิดและให้เค้าลองเปรียบเทียบกับที่อยู่ที่เราให้กับคนขายหนังสือ เค้าบอกว่าผู้ส่งไม่ได้ระบุหมายเลขอพาต์เม้นต์ ทำให้ไม่สามารถส่งได้เนื่องจากทางพนักงานที่อพาต์เม้นต์ไม่สามารถเซ็นต์รับของได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นที่อยู่ไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่บอกว่าทุกวันมีเหตุการณ์แบบนี้บ่อย และแนะนำให้ติดต่อกับทางคนขายโดยตรง เพราะแค่จ่ายค่าส่งใหม่ก็คงได้ของแล้วแหล่ะ เราคิดว่าปกติเวลาส่งของก็จะ Copy & Paste ที่อยู่ของผู้รับทั้งนั้นแหล่ะ เค้าไม่ได้พิมพ์เองกันหรอก และบางคนเค้ายังส่งเมลล์มายืนยันที่อยู่ อึม…คนแขกคนนี้มันช่างลูกเล่นแพรวพราวเสียจริง

เพื่อนบางคนบอกว่า อันนี้อาจจะเป็นยุทธวิธีการทำธุรกิจแบบขี้โกงก็ได้ เพราะเค้ารู้ว่าถ้าของส่งไม่ถึงผู้รับ (โดนแกล้งเขียนให้ที่อยู่ขาดตกบกพร่องอะไรบางอย่าง) ของที่สั่งไปก็ส่งตีกลับมาหาตัวเอง และกลายเป็นว่าผู้รับให้ที่อยู่ผิด สรุปว่าคนขายได้ทั้งเงินได้ทั้งของคืน เออ…ตั้งแต่ซื้อของออนไลน์มาก็เจอพวกแขกนี่แหล่ะขี้โกงสุดๆ ครั้นจะไปติดต่อเอาหนังสือคืนเราคงไม่ทำหรอก เพราะคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ของคืน คาดว่าส่งเงินค่าส่งไปก็คงไม่ได้หนังสือเหมือนเดิม อีกอย่างไม่ค่อยอยากจะเสวนากับคนขี้โกง จริงๆ ค่าเสียหายก็ไม่เยอะมากหรอก ก็คิดว่าเป็นการซื้อความรู้ใหม่และทำบุญให้ขอทานไปละกัน….เชอะ

จบข่าว

เมื่อวานไป Memphis กับ Chung Yong, Aik Min และก็ Noriko มา โอ้ววว…เล่นแบตฯ มันไปหน่อย รวมๆ แล้วน่าจะเล่นเกิน 10 เกมเห็นจะได้ เพราะตั้งแต่ขับรถไปถึงตอนบ่ายโมงก็ไม่ได้พักแบบเต็มๆ จนกระทั่ง 5 โมงครึ่งเลย เช้านี้ตื่นมาก็เลยเมื่อยไปทั้งตัว ยกกระทะตอนทำกับข้าวเกือบจะไม่ไหวแหน่ะ….แก่แล้วไม่ค่อยเจียมสังขารก็แบบนี้แหล่ะ

แต่งานนี้ไม่รู้ Noriko จะระบมมากกว่าหรือเปล่า เพราะเธอเล่นเยอะมากแถมอยู่หลังซะเป็นส่วนใหญ่ แต่คงไม่เป็นไรมั้งสำหรับเด็กอายุ 19 แล้วก็ยังเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่น แถมเล่นแบตมินตันมาตั้งแต่เด็ก คุยกับ Noriko เยอะมากประมาณว่าเม้าท์กันตลอดการเดินทางไปกลับก็อย่างน้อยเกือบ 4 ชั่วโมง ในใจก็อยากฝึกภาษาอังกฤษให้ Noriko ด้วย เพราะเค้ามาเรียนภาษาอังกฤษที่นี่แค่ 4 เดือน Noriko ก็เหมือนเด็กญี่ปุ่นทั่วไปที่จะค่อยข้างอายติ๊ดนึงแต่หลังจากคุยเป็นกันเองซักพักความอายทั้งหลายก็หายไป…ทีนี้ก็ใช้ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษามือ ผสมกับดิกชั่นนารีญี่ปุ่น-อังกฤษเข้าช่วย คุยสนุกสนานกันไปตามๆ กัน

Noriko Toyotani นามสกุลอันนี้จำง่ายมากแบบว่าพูดครั้งเดียวจำได้เลยเพราะเหมือนกับรถโตโยต้า Noriko เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 2 ที่ญี่ปุ่นแต่พักเบรคมาเรียนภาษาอังกฤษที่นี่แล้วกลับไปเรียนหนังสือต่อที่ญี่ปุ่นตอนเดือนเมษายน เสียดายมากที่ Noriko ต้องกลับไป เพราะอยากให้เค้าอยู่ที่นี่นานๆ เพราะจะได้เล่นแบตฯ ด้วยกัน เพราะทั้ง Ole Miss ไม่ค่อยมีผู้หญิงที่เล่นเก่งๆ แบบ Noriko เลย ครั้นเล่นกับผู้ชายก็ไม่สนุก..มันคนละสไลต์กันหน่ะ เพราะผู้ชายบางคนที่ชอบเล่นเพื่ออยากเอาชนะ ก็แค่ตีลูกหลังคอร์ดประมาณ 4-5 ครั้ง แล้วก็รอตบหน้าคอร์ดได้เลย เพราะร้อยทั้งร้อยผู้หญิงคงหนีไม่พ้นที่จะต้องหยอดหน้าเน็ต สรุปว่า…แค่นี้ผู้หญิงก็จอดแล้วหล่ะ เพราะผู้หญิงที่ไหนจะตีแบบหลังถึงหลังจริงๆ ได้กว่า 4-5 ครั้งบ้าง คงเป็นไปไม่ได้ (อันนี้ไม่นับนักกีฬาระดับมืออาชีพนะ) เพื่อนๆ ก็แนะนำว่าต้องไปเล่นเวท..จะได้สร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง โถ..ก็อยากเล่นแบบสนุกสนาน โหดหน่อยก็ดี…แต่ไม่อยากกล้ามแขนใหญ่เหมือนคนโด๊ปสเตียรอยด์นะ

เวลาเล่นแบตฯ ส่วนใหญ่จะเลือกเล่นกับคนเก่งหน่อย (น้าน…เล่นไม่เก่งแล้วยังเรื่องมากอีก) แล้วจะขอเค้าเล่นตอนที่เค้าจะวอร์มอัพ คนพวกนี้เค้าก็ดีนะ..บางคนยังมาขอให้เราวอร์มอัพให้เค้าหน่อย เพราะเค้ารู้ว่าเรายังต้องฝึกการเล่นเดี่ยวอีกเยอะ แล้วเวลาเล่นเค้าจะเน้นการเล่นทิศทางเน้นการวางลูกกับทักษะในการประเมินและวัดใจคู่ต่อสู้มากกว่าใช้กำลังกดขี่ข่มเหงแบบตีโหดๆ และไร้น้ำใจแบบผู้ชายบางประเภท…พูดซะหวาดเสียว 555

ที่ไม่ค่อยพูดเรื่องผู้หญิงเพราะว่าไม่มีผู้หญิงที่เล่นเดี่ยวเลย นักกีฬาที่มีอยู่เค้าก็ทักษะดีนะโดยเฉพาะเรื่องการเล่นหน้าเน็ต และส่วนใหญ่เค้าเล่นคู่ผสมหรือหญิงคู่กัน เราซิแย่มากเวลาเล่นคู่ผสมอยู่หน้าเน็ตทีไร ตื่นเต้นทุกที ตีลูกไม่ค่อยถูก บางครั้งแย่งลูกจากคู่พาร์ตเนอร์ตัวเองอีกต่างหาก ไม่ชอบเลย Mixed double เนี้ย เหมือนแค่เป็นตัวประกอบฉากอะไรทำนองนั้น (อยากเป็นนางเอกในเกมหนะ) รอลูกลอยมาหน้าเน็ตแล้วก็หยอดๆ ปาดๆ ตบๆ ไม่ได้ออกแรง หรือไม่ก็ยืน side-by-side เป็นเป้านิ่งให้อีกฝ่ายตบใส่ตอนเป็นฝ่ายรับ อีฉ้าน…เกลียดที่สู้ดดด ((ชอบคิดในใจแบบว่านินทาพาร์ตเนอร์ตัวเองนะ…หนอย….บ้าจริง นายจะตี high clear ทำไมนะ…อยากให้ฉันโดนตบหรือไง ไม่รู้เหรอไม่มีใครเค้าตบใส่นายหรอก ร้อยทั้งร้อยก็ตบมาทางผู้หญิงที่กำลังถอยมาตั้งรับทั้งนั้นแหล่ะ เซ็งงงๆๆๆ))

และแล้วก็เหลือเวลาเล่นกับ Noriko อีกไม่เกิน 5 ครั้งเอง เพราะอีกไม่ถึงเดือน Noriko ก็จะกลับญี่ปุ่นแล้ว…เสียดายจัง

Tags:

เพิ่งจะมีโอกาสได้ดู Kung fu Panda จริงๆ อยากดูตั้งแต่วันที่เข้าที่โรงหนังแล้วหล่ะ แต่อยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีก๊วนดูหนังเท่าไหร่เลยต้องรอดีวีดีอย่างเดียว จะว่าไปก็สนุกนะ แต่ความรู้สึกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนที่รอคอย อาจจะเป็นเพราะดูไม่ต่อเนื่อง (ดูครึ่งเรื่องแล้วไปตีแบตฯ แล้วกลับมาดูต่อจนจบ) อีกอย่างดูกับจอคอมฯ มันก็เลยไม่ซะใจ จอไม่ใหญ่เอ้ก…ไม่มีเสียงเซอร์ราวด์กระหึ่มรอบทิศ

แต่ระหว่างที่ดูก็ประทับใจก็ประโยคๆ หนึ่ง ตอนแรกก็ฟังโอเคนะแต่ไม่แน่ใจว่าจะเขียนถูกต้องตามที่เค้าพูดหรือเปล่า เพราะพวก a, an, the และก็ tense บางครั้งเวลาพูดเสียงมันครวบ (เขียนถูกเปล่าเนี้ย) หายไปในคอ ปกติดูหนังไม่ค่อยชอบเปิด subtitle เพราะมันเกะกะสายตา ฟังไม่ทันก็ฟังใหม่เอา ดูไม่เข้าใจก็ดูอีกรอบ เป็นการฝึก listening ไปในตัวด้วย (แต่ตอนนี้ vocab เริ่มห่วยแทน ศัพท์บางตัวรู้ว่าอ่านและใช้ยังไงแต่เขียนไม่ถูก 555) แต่ถึงมี subtitle ก็ไม่ค่อยอ่านหรอกเพราะอ่านไม่ทัน สรุปประโยคที่ว่าเมื่อกี้นี่มันอะไรกันแน่นะ เลยต้องฟังใหม่ และแล้วก็ได้มาแล้วดังนี้

“Yesterday is history,
Tomorrow is a mystery,
But today is a gift.
That’s why it is called the present.”

ฟังครั้งแรกก็เฉยๆ นะ เพราะเคยได้ยินแว่วๆ จากที่ไหนมาก่อน พอฟังหลายๆ รอบแล้วคิดตามมันก็ดีนะ…ถูกต้องสุดๆ วันนี้คือของขวัญ..จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด (อันหลังนี่เติมเอาเอง) ใครหนาช่างแต่ง..เพราะดีว่ามั้ย

พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่ 44 แล้ว แหม…รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะ ตั้งแต่มาที่อยู่ที่นี่ การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้เห็นบรรยากาศ แต่เมื่อปี 2004 โน้น..ยังไม่ค่อยจะรู้อะไร เพราะเพิ่งมาอยู่เลยไม่ค่อยได้ติดตามสถานการณ์เท่าไหร่

นั่งคุยกับพี่ๆ ที่เค้าอยู่ที่นี่นานๆ ว่าคนที่นี่เค้าเลือกตั้งแบบบ้านเราหรือเปล่า และมีขั้นตอนอย่างไร ส่วนใหญ่พี่ๆ เค้าก็รู้แบบคร่าวๆ กันทั้งนั้นเพราะว่าคนไทยที่รู้จักในละแวกนี้ไม่ได้เป็นซิติเซ่นสักคน ที่แน่ๆ ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องมีการลงทะเบียนเลือกตั้งก่อน แล้วถึงจะได้บัตรเลือกตั้งที่เค้าเรียกว่า ballot ที่หน้าตาต่างจากบัตรเลือกตั้งสีต่างๆ ของบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ขอบอกว่าไม่มีเบอร์ 1 2 3 ให้กาด้วยนะ ตัวอย่างบัตรเลือกตั้งเค้าเป็นอย่างนี้นะ

vote1

อยากเล่าประสบการณ์เลือกตั้งที่เมืองไทยครั้งแรกให้ฟัง เอาเป็นว่าเดินไปที่หน่วยเลือกตั้งกับพ่อเพราะไม่กล้าไปคนเดียว ซึ่งมันก็อยู่ใกล้บ้านนะ เดินไปไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง เดินไปคุยกันจุกจิกตามประสาพ่อลูก พ่อก็เชียร์ใหญ่นะว่าอย่าลืมลงคะแนนเสียงให้กับคนนี้นะลูก เราก็…ค่ะพ่อ ไม่ต้องห่วง พอถึงปุ๊บ ดึงบัตรประชาชนออกมา เช็ครายชื่อพร้อมทั้งเซ็นชื่อ แล้วก็ได้บัตรเลือกตั้งมาเรียบร้อย เดินตรงดิ่งไปคูหาเลือกตั้งอย่างอาดๆๆ ด้วยความมั่นใจสุดๆ (นึกในใจ…หนูจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังคะ) ว่าแล้วเอ่อ….ไม่เห็นชื่อคนที่พ่อจะให้เลือกเลย มีแต่เบอร์เต็มไปหมด แล้วคนๆ นั้นเค้าอยู่เบอร์อะไรจะรู้มั้ยเนี้ย ทำไงดีหล่ะ แอบดูป้ายโฆษณาที่ติดแถวนั้นดีกว่า อ้าว..แย่แล้วมองไม่เห็น ชะโงกหน้ามากๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเค้าหาว่าลอกกัน แย่แล้ว..ทำไงดี สรุปกามั่วส่งเดชเอาเป็นเลขที่คุ้นๆ ละกัน พ่อนะพ่อ…ทำไมไม่ย้ำว่าเค้าอยู่เบอร์อะไร ใครจะไปรู้หล่ะว่าบัตรเลือกตั้งมันไม่มีชื่อบอกมีแต่เลขเต็มไปหมด ปรากฏว่าใส่บัตรเลือกตั้งในหีบเสร็จ ยิ้มด้วยความภูมิใจ บอกพ่อเรียบร้อยคะ มิต้องห่วง เดินจูงมือกันกลับบ้าน พอถึงรีบไปดูใบบลิวที่เค้าโฆษณา อ้าว…กาถูกหนิ แม่นเหมือนกันนะเรา อิอิ ทำไมซื้อหวยไม่เคยถูกเลย (ทำกะเคยซื้อล็อตเตอร์รี่แหน่ะ) จบแล้ว…เรื่องการเลือกตั้งของเรา พร่ามซะยาวเชียว

กลับมาของอเมริกากันต่อดีกว่า การ registration สามารถทำผ่านทางจดหมาย หรือทำด้วยตนเองก็ได้ โดยจะต้องทำก่อนการเลือกตั้งอย่างน้อย 30 วัน และในวันเลือกตั้งเราก็สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ตั้ง 7 โมงเช้าจนกระทั่ง 1 ทุ่มตรง (คาดว่ารัฐอื่นคงมีกฏเหมือนกันนะ)

จริงๆ แล้วบัตรเลือกตั้งที่โชว์ด้านบนไม่ได้มีแค่ใบเดียวนะ มันมีหลายหน้าด้วยกัน มีทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอย่างที่เห็นในรูป และก็ไม่ได้มีแค่ 2 พรรคด้วย (ไม่เข้าใจว่าอีก 3-4 คนเนี้ย เค้าจะลงทำไมเหมือนกัน เพราะโอกาสที่จะได้ตำแหน่งประธานาธิบดีนี่ริบหรี่มากๆ เลย) แล้วหน้าถัดไปก็จะเป็นการเลือกตั้ง US Senate, House of Representatives และพวกตำแหน่ง Supreme Court Justice และตำแหน่งย่อยๆ อื่นๆ อีกทำให้บัตรเลือกตั้งของที่นี่มีทั้งหมด 8 หน้าด้วยกัน

รู้สึกแปลกมั้ย ทำไมเค้าต้องเลือกตั้งกันในวันที่ 4 พฤศจิกายน แล้วมันก็เป็นวันอังคารด้วย บอกรูมเมทว่าที่เมืองไทยถ้ามีการเลือกตั้งจะต้องทำในวันอาทิตย์เท่านั้นเพราะเป็นวันหยุด ประชาชนจะได้ออกมาใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่ แต่ที่นี่เค้าไม่ระบุว่าต้องเป็นวันจันทร์ อังคาร หรือพุธ แต่จะออกมาตามวันที่ซึ่งไม่รู้ว่าเค้าใช้หลักการอะไรในการเลือกวันที่เหมือนกันนะ แต่ที่แน่ๆ การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติจะอยู่ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน และอีก 4 ปีข้างหน้า การเลือกตั้งก็จะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน ใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมว่าปีไหนเลือกตั้งวันไหนดูได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Election_Day_(United_States)

ว่าแล้วไปดูโจ๊กที่เค้าล้อเลียน Palin กับ Biden ออกมาโต้กันแบบตอน Vice-Presidential Debate ดีกว่าสนุกดี

Tags: ,

วันนี้วันอาทิตย์นอนกินบ้านกินเมืองได้เพิ่มอีก 1 ชั่วโมง มันก็ดีนะแต่ที่แย่คือมันมืดเร็ว อันนี้ไม่ชอบเลย อยากให้ทุกวันเป็นเหมือนช่วง summer จัง แต่ไม่เอาอากาศร้อนๆ แบบนั้นนะ ที่ชอบช่วงหน้าร้อนเพราะว่า 3 ทุ่มก็ยังสว่างอยู่เลย ความรู้สึกเหมือนว่าได้ทำงานหรือกิจกรรมในช่วงกลางวันเยอะมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมกลางแจ้ง แต่พอมาถึงช่วงหน้าหนาวเนี้ยไม่ชอบเลย เพราะตอนนี้ช่วง 5 โมงกว่าๆ ก็มืดแล้ว อีกสักเดือนสองเดือนก็มืดประมาณ 4 โมงเย็น ว้า…แย่จัง

ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ก็งงเหมือนกันนะว่าทำไมต้องมีการปรับเวลาด้วย บางไทม์โซนก็ปรับบางโซนก็ไม่ปรับ ไม่ยักเหมือนประเทศจีนนะ ประเทศเค้าก็ทั้งกว้างทั้งใหญ่มีแค่เวลามาตรฐานเวลาเดียว แถมยังอยู่ละติจูดอยู่สูงเลยอ่ะ อย่างบางเมืองในซีกตะวันตกของประเทศจีนกว่าจะเช้าไม่ปาเข้าไป 8-9 โมงเช้าแล้วเหรอ…งงมั้ย อันนี้ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะไม่เคยไปเมืองซีกตะวันตก และเพื่อนชาวจีนที่มีอยู่ก็ไม่มีใครมาจากฝั่งนั้นเหมือนกัน เลยบอกไม่ได้เหมือนกัน

หลังจากมาอยู่อเมริการะยะหนึ่ง…หูตาสว่างขึ้นว่างั้นเหอะ เลยได้รู้ว่าประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกมี Daylight Saving Time (DST) กันทั้งนั้น (จริงเหรอเนี้ย???) ทำอย่างไรได้คนไทยเพราะอาทิตย์ขึ้น-ตก เวลาเดียวกันแป๊ะ ไม่เห็นต้องปรับเปลี่ยนเวลาเลย นี่ถ้าเอาคุณโต้งที่บ้านเรามาขันแถวนี้จะเป็นไงนะ…ประมาณว่าพี่ไก่โต้งคงทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนอยู่เมืองไทยแน่เลย แบบว่างงกับพระอาทิตย์ขึ้น-ตก (ว่าแล้วนึกถึงเรื่องศรีธันชัย ตอนมาเข้าเฝ้าก่อนไก่ขัน เหอๆๆ)

ในอเมริกาแบ่งเวลาออกเป็น 6 โซน แต่ที่ใช้แบ่งแยกกันบ่อยๆ คือ 4 โซน (Eastern Time, Central Time, Mountain Time and Pacific Time) โซนนี้เหมือนกับเวลาที่ประเทศแคนนาดาด้วย และที่เพิ่มเติมอีก 2 โซนคือ Hawaii Time กับ Alaska Time





ภาพจาก http://www.mapsofworld.com




ปกติในช่วงซัมเมอร์ของประเทศในซีกโลกเหนืออย่างในอเมริกา จะมีช่วงกลางวันที่ยาวนานกว่ากลางคืน ดังนั้นเพื่อเป็นการใช้พลังงานธรรมชาติให้คุ้มค่ามากที่สุด ในวันที่เริ่มต้น Daylight Saving ก็จะปรับนาฬิกาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง (บางประเทศอาจจะไม่ใช่ 1 ชั่วโมงก็ได้) และพระอาทิตย์ก็แปลกขึ้นได้แป๊บเดียวไปอยู่บนหัวซะแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นเวลา 9 หรือ 10 โมงเช้า แถมลอยเล่นอยู่ซะนาน (พูดยังกะลูกโป่ง) กว่าจะตกได้โน้นปาไป 3 ทุ่ม ฉะนั้นถ้าเวลาปกติ 1 ทุ่มช่วง DST ก็จะกลายเป็น 2 ทุ่ม จึงค่อยเปิดไฟหรือทำกิจกรรมในบ้านหรืออาจจะเพิ่งเข้าบ้านก็ได้ คิดง่ายๆ ว่าแต่ละบ้านเปิดไฟอย่างน้อย 1 ดวงช้าไป 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 4-5 เดือน และประเทศที่ใช้ DST ก็มีอยู่เยอะ เราก็สามารถประหยัดพลังงานในแต่ละปีไปได้เยอะทีเดียว ที่เขียนมาเนี้ย…ไม่รู้เหตุผลจะพอฟังขึ้นหรือเปล่า

แต่ที่แน่ๆ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของ DST ดังนั้นเลยต้องหมุนนาฬิกาย้อนหลังกลับมา 1 ชั่วโมง เลยนอนเพิ่มขึ้นนิดหน่อย อากาศเย็นๆ นอนใต้ผ้านวมอุ่นๆ สบายจัง

เสาร์นี้อยู่บ้านพี่ตุ๊กตาอีกแล้ว ไม่ได้หิ้วโน้ตบุคมาด้วย เลยไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาเป็นดูหนังเรื่องโปรดดีกว่า Tom Hanks เป็นหนึ่งในดาราที่ชื่นชอบ ไม่ใช่ว่าเค้าจะหน้าตาดีอะไรนะ แต่ว่าเป็นคนที่เล่นหนังเก่งมากเลยหน่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังรัก คิกขุอย่างบท Joe Fox ใน You’ve got mail หรือบทบาทการตีปิงปองในเรื่อง Forrest Gump บททหารยอดนักสู้เรื่อง Saving Private Ryan ก็ดีนะ ยิ่งดูเรื่อง Cast Away ก็นึกถึง Mr. Wilson เพื่อนคนเดียวที่มีอยู่ทั้งเกาะ แต่ที่ชอบมากที่สุดตอนนี้คือบท Navorski ในเรื่อง The Terminal

เรื่องนี้ออกมาเมื่อประมาณปี 2004 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ได้เข้ามาอเมริกาเป็นครั้งแรก ทุกซีนที่เห็นที่สนามบิน JFK ก็เป็นสิ่งที่นักเดินทางทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องเร่งรีบไปที่ immigration เพื่อเช็คพาสปอร์ตกับวีซ่าเข้าประเทศ เพราะไม่งั้นแล้วต้องต่อคิวยาวเป็นห่างว่าว หรือการกรอกแบบฟอร์มสีเขียว และยังมีอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้เราได้เรียนรู้จากในหนังเรื่องนี้ เช่นการที่เอา Cart ไปเก็บแล้วได้เหรียญควอร์เตอร์ ซึ่งทุกอย่างนี้เป็นสิ่งที่คนที่จะบินมาอเมริกาเป็นครั้งแรกควรศึกษาเอาไว้

Tom Hanks พูดภาษาอังกฤษสไตล์รัสเซีย เค้าทำได้ยังไง…อยากรู้จัง แบบว่าสำเนียงเนี้ยใช่เลย ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าคล้ายยังไง หลังจากที่มีเพื่อนเป็นคนรัสเซียกับยูเครน บอกได้เลยว่า Navorski มาจาก Eastern Europe จริงๆ

หนังเรื่องนี้มีตอนที่ชอบอยู่หลายตอนมากเช่น ตอนที่ Meal voucher ปลิวไปแล้วต้องเก็บเอาในถังขยะ ลุง Gupta คนทำความสะอาดบอกว่าจะมารื้อขยะไม่ได้ มี appointment หรือเปล่า แล้วก็นัดกันวัน Tuesday พอถึงวันนัดลุงก็บอกเค้าไม่ชอบ Tuesday แล้วเดินหนีไปซะงั้น อ้อ..มีอยู่ตอนนึงหลังจากที่เพจเจอร์ดัง Navorski ก็วิ่งไฟแลปไปหา Dixon หัวหน้า Immigration office ซึ่ง Dixon บอกกับ Novorski ว่า แค่ Novorski ตอบคำถามเพียงคำถามเดียวก็สามารถเข้าไป NYC ได้ Dixon พยายามอธิบายสาระพัด และดูเหมือนว่า Navorski จะไม่ได้เข้าใจกฏหมายที่ Dixon พยายามจะอธิบาย Dixon ต้องการให้ Novorski ตอบว่ากลัวที่จะต้องกลับประเทศของตน แต่สุดท้าย Navorski งง…ทำไมต้องกลัวด้วย ไม่เห็นกลัวเลย เห็นหน้าซื่อๆ ของ Navorski แล้วขำจริงๆ นะ ไม่รู้จะว่ายังไงนะ…แต่ดูกี่ทีก็สนุกทุกครั้ง แนะนำเลยว่าซื้อหนังเรื่องนี้ติดบ้านไว้เลย เอาไว้ดูคลายเครียด