Life is all around.

เรื่องแขกๆ ยังไม่จบ

Posted on: November 18, 2008

smelly

หลังจากของขึ้นกับพวกคนอินเดียไปแล้ว ยังมีอะไรอีกเยอะที่อยากพูดถึง ปกติแล้วเราเลี่ยงที่จะคบเป็นเพื่อนและเสวนากับคนกลุ่มนี้ เราไม่ได้เป็นพวกเรซิสอะไรทำนองนี้หรอกนะ แต่บางครั้งมันก็อดคิดไม่ได้หน่ะเพราะคนอินเดียส่วนใหญ่ที่เราเจอ คือ เห็นแก่ตัว ขี้โกงแล้วก็โค๊ดเหม็น บางคนก็อาจจะดีมั้ง…แต่ในชีวิตประจำวันของเรายังไม่เจอแบบดีๆ เลย

ในตึก Engineering School หรือพวก Computer Science and Tech. ของมหาวิทยาลัยในอเมริกาโดยทั่วไปจะเห็นนักเรียนอินเดียกับจีนเยอะมาก อันนี้เป็นปกติอยู่แล้วแหล่ะ ที่ทำงานของเราก็เช่นกัน บางครั้งยังคิดเลยว่าอยู่อเมริกาหรือประเทศจีนกันแน่ เพราะบรรยากาศที่เค้าคุยกันเองนี่ ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย นอกจากคุยกับเราหรืออาจารย์ระดับสูงก็จะพูดภาษาอังกฤษ ดีหน่อยว่าที่ทำงานมีคนจีนเยอะและมีคนอินเดียแค่ 2 คน ทั้งสองคนไม่ได้เป็นนักเรียนอย่างเราหรอก คนนึงทำงานอีกตึกนึงก็ดีไป แต่อีกคนทำงานใกล้กัน จริงๆ แล้วเค้าต้องนั่ง section ของ staff แต่เผอิญว่า section ของ staff ที่เค้าควรจะต้องนั่งทำงานมันเต็ม เค้าก็เลยมานั่งฝั่งนักเรียนติดกับเรา โอ้ว…แม่เจ้า เป็นตั้ง Ph.D. หน้าที่การงานก็ดี (อันนี้จริงๆ ไม่เกี่ยวหรอก) ไหง..กลิ่นโค๊ดเหม็น เรานะแทบจะเป็นลม ต้องไปซื้อน้ำหอมสาระพัดมาประดับประดาที่โต๊ะทำงานไม่ให้มีกลิ่นแขกลอยมาเข้าจมูก เท่านั้นยังไม่พอ คนจีนที่อยู่โต๊ะถัดไปต้องกลับประเทศ ทีนี้มีนักเรียนจากอินเดียมานั่งแทน พระเจ้าช่วย…โดนแขกขนาบข้าง กรำๆๆๆๆ คือต้องเข้าใจนะ เราทำงานใช้คอมพิวเตอร์เป็นห้องติดแอร์แบบปิดตลอด อาจจะเปิดประตูตอนเที่ยงบ้างนิดหน่อยเท่านั้นเอง กลิ่นมันก็ไม่ไปไหนตลบอบอวนอยู่อย่างนั้น เซ็งๆๆ

กลิ่นแขกจากซ้ายและขวามันช่างทรงพลังอย่างยิ่ง บอกได้คำเดียวว่า..มึนและเหม็นจะเป็นลมตายอยู่แล้ว ช่วงหน้าร้อนในบางวันโดยเฉพาะตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ เราต้องหนีออกไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดหรือเอา laptop มาจากบ้านเพื่อจะได้ไม่ต้องทำงานที่โต๊ะ ดีหน่อยว่าเด็กนักเรียนอินเดียอยู่แค่เดือนเดียว ไม่งั้นเราต้องตายแน่ๆ บางครั้งเวลามีสัมนา ถ้าเราเข้ามาหลังก็จะนั่งห่างจากคนพวกนี้ให้มากที่สุด เหม็นจริงๆ นะขอบอก มีอยู่ครั้งนึง เรานั่งเรียบร้อยเสร็จสรรพ เวรกรรม..อีตานี่มานั่งใกล้ๆ เราก็ใช้มุขนั่งอยู่แป๊บนึงแล้วก็เปลี่ยนที่ไปเลย บอกว่าคนข้างหน้าบังมองไม่เห็น เฮ้ย…ไม่ไหว

ส่วนเรื่องขี้โกงก็สุดๆ เหมือนกัน ปกติที่ทำงานเค้าจะล็อคไม่ให้โทรออกนอกเมือง ถ้าโทรก็จะต้องมีรหัสโค้ดที่ใช้สำหรับโทรออก แล้วเค้าก็จะให้โค้ดสำหรับคนทำงานเอาไว้ใช้สำหรับโทร.ในเรื่องงานเท่านั้น นักเรียนไม่มีสิทธิ์ได้รับโค้ด หากใครต้องการโทรเบอร์ภายในมหาวิทยาลัยหรือภายในเมืองหรือเบอร์โทร.ฟรีก็สามารถโทรได้เลย เผอิญว่าหลังจากที่นักเรียนอินเดียที่นั่งข้างเรากลับอินเดียไปแล้ว ทางเลขาของที่ทำงานก็ได้บิลค่าโทรศัพท์ ที่โทรไปยังเมืองๆ หนึ่งในรัฐ Mississippi โทรศัพท์ที่ใช้โทรออกก็คือโทรศัพท์ที่พวกเราใช้กันนั่นเอง โทรไปเบอร์นั้นประมาณเกือบ 10 ครั้งเห็นจะได้ คนทั้งหมดในออฟฟิสมีอยู่ 8 คน แต่คนที่โทรได้มีแค่ 5 คน เพราะอีก 3 คนเป็นนักเรียนซึ่งพวกเราไม่สามารถโทรออกได้อยู่แล้ว คนทำงานอีก 1 กลับประเทศจีน เลยเหลือผู้ต้องหาอยู่ 4 คน ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนโทรสักคน จริงๆ ค่าโทรก็ไม่เยอะหรอก แต่เลขาต้องการจะลงงบให้ถูกต้องว่าเป็นงานไหน เลขาระบุว่าเวลาที่โทรออกเป็นตอน 3-4 ทุ่ม ซึ่งไม่ใช่เวลาทำงาน เราก็รู้แล้วแหล่ะว่าใครโทร แต่ไม่ต้องการกล่าวหาใคร เพราะตลอดเวลาที่นักเรียนอินเดียอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยเห็นกลับบ้านไปนอนซักที ที่พักเค้าก็มีนะ แต่เค้านอนที่ทำงานแทนหน่ะ (เค้าไม่มีโทรศัพท์กับอินเตอร์เน็ตที่บ้านพัก ดังนั้นกลางคืนแชทกับคนที่อินเดีย กลางวันเห็นหลับเป็นประจำ) ดูจากเวลาที่โทรออกเราสรุปได้เลยว่ามีใครโทร ปัญหาคือเค้าโทรได้ยังไง เราก็สงสัยเหมือนกัน เราคิดว่าเลขาก็สงสัยเช่นเดียวกัน หลังจากไม่มีใครยอมรับ ก็แหงซิ..คนโทรกลับอินเดียไปแล้ว วันต่อมาเลขาก็เลยโทรไปยังเบอร์ที่ถูกระบุว่าโทรออกไป สรุปว่าเป็นเบอร์ของบริษัท calling card ที่ใช้โทรกลับไปต่างประเทศอีกต่อนึง ทีนี้เค้าก็เลยถามท่านด๊อกเตอร์อินเดียที่เป็น staff เลย แต่พูดอะไรกันเราไม่รู้หรอกนะ เพราะเค้าไปคุยกันข้างนอก และสรุปว่าคนก็รู้ว่าเด็กนักเรียนอินเดียเป็นคนโทร แต่คุณด๊อกเตอร์นี่จะยอมรับหรือเปล่าว่าเป็นคนให้โค้ดโทรศัพท์ เพื่อใช้โทรส่วนตัว อันนี้ไม่รู้เหมือนกันนะ นี่ก็เป็นเรื่องแย่ๆ อีกเรื่องที่เราเจอ

เฮ้อ…จิตใจคน ยากแท้หยั่งถึง การศึกษานี่ทำให้จิตใจคนพัฒนาไปบ้างเปล่าเนี้ย น่าคิดนะ

Tags:

Leave a comment


  • None